13 กรกฎาคม 2565
ผู้ชม 4785 ผู้ชม
Puritan’s Pride Shark Cartilage 740 mg / 200 Capsules
Puritan’s Pride Shark Cartilage ผลิตมาจากกระดูกอ่อนปลาฉลาม คือ โครงกระดูกของปลาฉลามทั้งตัวที่ถูกจับขึ้นมาและนำมาบดละเอียด อุดมไปด้วย ธาตุแคลเซียม, ฟอสฟอรัส, สารกลัยโคซามิโนกลัยแคน (Glycosaminoglycans) และสารมูโพลีแซคคาไรด์ (Mucopolysaccharide) ช่วยในการรักษาโรค ในทางการแพทย์จะนำมาใช้ร่วมในการรักษาโรคมะเร็งซึ่งได้รับความสนใจมาก เนื่องจากมีนักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตของปลาฉลาม พบว่าปลาฉลามมีระบบภูมิคุ้มกันพิเศษสามารถต้านทานโรคภัยไข้เจ็บได้สูง โดยเฉพาะโรคมะเร็งถึงแม้จะอยู่ในสภาพน้ำที่สกปรกก็ตามอาจกล่าวได้ว่า ปลาฉลามเป็นสัตว์ที่ไม่เป็นโรคมะเร็ง การที่ปลาฉลามมีคุณสมบัติพิเศษกว่าสัตว์ชนิดอื่นเนื่องจากปลาฉลามมีสารกลัย โคซามิโนกลัยแคน (Glycosaminoglycans) และสารมูโคโพลีแซคคาไรด์ (Mucopolysaccharide) ซึ่งพบในกระดูกของปลาฉลามแตกต่างจากกระดูกสันหลังสัตว์อื่นๆ ช่วยให้ปลาฉลามมีความแข็งแรงและต้านทานโรคสูง
สารอาหารที่สำคัญในกระดูกอ่อนปลาฉลาม (Shark Cartilage)
กระดูกอ่อนปลาฉลาม (Shark Cartilage) นอกจากจะมีธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัสที่ช่วยในการสร้างกระดูกและฟันเหมือน กระดูกปลาทั่วไปแล้วยังมีสารที่ทำให้เกิดความมหัศจรรย์อื่นอีก คือ สารมูโคโพลีแซคคาไรด์ และโปรตีน ซึ่งเป็นตัวสร้างภูมิคุ้มกันต้านทานโรค ลดการอักเสบ ยับยั้งการเกิดโครงข่ายเส้นเลือดฝอยที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่รอบๆ บริเวณที่มีเนื้องอกหรือเนื้อเยื่ออักเสบ เป็นการควบคุมการขยายตัวของโรคเนื้องอกหรือโรคมะเร็ง
ระบบภูมิคุ้มกันของปลาฉลาม
ปลาฉลามมีระบบภูมิคุ้มกันแบบดั้งเดิม คือ มีสารแอนตี้บอดี้หลายล้านชนิดและทำงานเฉพาะเมื่อถูกกระตุ้นจากสิ่งแปลกปลอม ที่เข้าสู่ร่างกายเท่านั้น การที่ปลาฉลามมีสารแอนตี้บอดี้เป็นจำนวนมาก ไหลเวียนอยู่ในกระแสเลือดสิ่งแปลกปลอมจึงไม่สามารถเข้าสู่ร่างกายได้ จอห์น ฟอร์เรส นักวิจัยแห่งศูนย์ทดลองชีวภาพเกาะเม้าน์ทเดสเซอร์ท ในรัฐเมน สหรัฐอเมริกาได้ทดลองผ่าปลาฉลามแล้วเย็บแผล หลังจากนั้นนำไปใส่ไว้ในน้ำสกปรกปรากฏว่าปลาฉลามไม่ติดเชื้อใดๆ เลย
กระดูกอ่อนปลาฉลาม (Shark Cartilage) รักษาโรคมะเร็งได้อย่างไร
จากการศึกษาเรื่องโรคมะเร็งโดย ดร.โฟล์คแมน แห่งโรงพยาบาลเด็กและคณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ดในเมืองบอสตัน พบว่าเนื้องอกไม่สามารถเจริญเติบโตได้ หากปราศจากการสร้างระบบโครงข่ายเส้นเลือดรอบๆ เนื้องอก หากสามารถยับยั้งหรือทำลายการเจริญเติบโตของโครงข่ายเส้นเลือดได้ ก็สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอกได้ ต่อมานักวิจัยอีกหลายท่านก็สรุปเช่นเดียวกันนี้และได้มีการทดลองใช้กระดูก อ่อนปลาฉลามซึ่งเป็นเนื้อเยื่อที่ไม่มีเส้นเลือดไปปลูกในลูกไก่ที่ยังเป็น ตัวอ่อน เส้นเลือดจะแทรกซึมเข้าไปในเนื้อเยื่อทุกส่วนยกเว้นกระดูกอ่อนปลาฉลามที่ ปลูกไว้และยังพบว่ากระดูกอ่อนปลาฉลามสามารถทำให้เนื้องอกในหนูทดลองมีขนาด เล็กลงหลังจากกินกระดูกอ่อนปลาฉลาม 21 วัน นักวิจัยตั้งสมมุติฐานว่ากระดูกอ่อนปลาฉลามสามารถยับยั้งการสร้างโครงข่าย เส้นเลือดของเนื้องอกและป้องกันการเจริญเติบโตของเส้นเลือดใหม่ๆ ได้ดร.เออร์เนสโต้ คอนเทรราส จูเนียร์ ทดลองนำกระดูกอ่อนปลาฉลามไปรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะสุดท้ายจำนวน 8 ราย เป็นระยะเวลา 2 เดือน ผลปรากฏว่าผู้ป่วย 7 ราย ใน 8 ราย มีขนาดเนื้องอกลดลง 30-100% ดร.วิลเลี่ยม เลนส์ ได้ทดลองนำกระดูกอ่อนปลาฉลามรักษาโรคมะเร็งพบว่ากระดูกอ่อนปลาฉลามมี ประสิทธิภาพในการยับยั้งการสร้างเส้นเลือดฝอยของเซลล์มะเร็งทำให้เซลล์ มะเร็งขาดอาหารมาหล่อเลี้ยง ผลคือเซลล์มะเร็งไม่เจริญเติบโตและตายในที่สุด โดยที่ไม่มีผลต่อเซลล์ปกติ
กระดูกอ่อนปลาฉลาม (Shark Cartilage) ช่วยรักษาโรคข้ออักเสบ
โรคกระดูกข้ออักเสบเรื้อรัง (Osteoarthritis) เกิดจากกระดูกอ่อนในข้อต่อเสื่อม กระดูกอ่อนจะร้าวและฉีกขาดเนื่องจากแรงกดดัน จึงทำให้เกิดอาการบาดเจ็บ ร่างกายจะมีปฏิกิริยาตอบสนองในรูปของอาการอักเสบและกระตุ้นให้เกิดการสร้าง เส้นเลือดใหม่ กระดูกอ่อนของคนเราเป็นเนื้อเยื่อที่ไม่มีเส้นเลือดเหมือนกระดูกอ่อนปลาฉลาม แต่เมื่อร่างกายเกิดการบาดเจ็บก็จะสร้างเส้นเลือดผ่านเนื้อเยื่อดังกล่าวไป ช่วยในการรักษา แต่จะทำให้เกลือแคลเซียมไปเกาะที่กระดูกอ่อนและเกิดการแข็งตัวและแตกหักใน ที่สุด การใช้กระดูกอ่อนปลาฉลามอาจช่วยป้องกันกระบวนการดังกล่าวได้ นักวิจัยได้ทำการทดลองนำสารสกัดจากกระดูกอ่อนปลาฉลาม (Shark Cartilage) ไป ฉีดให้ผู้ป่วยโรคข้ออักเสบซึ่งพิการและมีอาการรุนแรง ปรากฏว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอาการดีขึ้น ดร.ไฮเซ่ เอ ออร์คาซิต้า แห่งคณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยไมอามี่ได้ให้ผู้ป่วยที่เป็นโรคข้อกระดูก อักเสบเรื้อรัง และมีอาการปวดอย่างรุนแรงรับประทานกระดูกอ่อนปลาฉลามแห้ง ผลปรากฏว่าผู้ป่วยทุกรายมีอาการดีขึ้น
กระดูกอ่อนปลาฉลาม (Shark Cartilage) ช่วยรักษาโรคที่ต้องพึ่งกระบวนการสร้างเส้นเลือดใหม่เลี้ยง
นักวิจัยเชื่อว่า กระดูกอ่อนปลาฉลาม (Shark Cartilage) อาจ สามารถป้องกันโรคตาเสื่อมในผู้ป่วยเบาหวานและโรค Neovascular Glaucoma ซึ่งจะเกิดการแตกของเส้นเลือดฝอยในเรตินาและมีเลือดออก หลังจากนั้นเกิดการสร้างเส้นเลือดใหม่ทำให้การมองเห็นไม่ชัดและในที่สุดทำ ให้ตาบอด กระดูกอ่อนปลาฉลามยังสามารถใช้ได้กับผู้ที่ผ่าตัดต้อกระจกได้ด้วย นอกจากนี้ยังใช้รักษาโรคผิวหนังโซเรียซิส ซึ่งเป็นโรคที่ทำให้ผิวหนังหยาบกระด้างแล้วหลุดออก อาจเกิดการสร้างเส้นเลือดฝอยใต้ผิวหนัง กระดูกอ่อนปลาฉลามยังสามารถช่วยให้แผลหายเร็วขึ้นด้วย
บุคคลที่ไม่ควรรับประทานกระดูกอ่อนปลาฉลาม (Shark Cartilage)
เนื่องจากกระดูกอ่อนปลาฉลามมีคุณสมบัติ ยับยั้งการเจริญเติบโตของเส้นเลือดใหม่ ดังนั้น เด็ก หญิงมีครรภ์ หญิงที่อยากจะมีครรภ์และผู้ที่ได้รับการผ่าตัดไม่ควรรับประทานกระดูกอ่อนปลา ฉลาม
Puritan’s Pride Shark Cartilage 740 mg / 200 Capsules
Natural joint support straight from the sea!
Shark Cartilage is a natural source of Chondroitin Sulfate, which is a key structural component in human cartilage.**
Chondroitin also plays an important role in the maintenance of joint cartilage.**
Each serving delivers 740 mg shark cartilage powder.
Adults can take one capsule four to six times daily.
No Artificial Color, Flavor or Sweetener, No Preservatives, No Sugar, No Starch, No Milk, No Lactose, No Soy, No Gluten, No Wheat, No Yeast, No Shellfish. Sodium Free
Supplement Facts |
|
Serving Size 1 capsule | |
Amount Per Serving | % Daily Value |
Shark Cartilage Powder | 740 mg * |
*Daily Value not established. |
Directions: For adults, take one (1) capsule four to six times daily, preferably with meals.
Other Ingredients: Dicalcium Phosphate, Gelatin, Vegetable Magnesium Stearate, Silica. This product contains fish (shark) ingredients.
WARNING: If you are pregnant, nursing or taking any medications, consult your doctor before use. Discontinue use and consult your doctor if any adverse reactions occur. Keep out of reach of children. Store at room temperature. Do not use if seal under cap is broken or missing.
คำเตือน
ผลิตภัณฑ์ ดังกล่าวข้างต้นไม่ใช่ ผลิตภัณฑ์ที่จัดว่าเป็นยา จึงไม่ได้มีสรรพคุณในการรักษาโรคใดๆได้ และการได้รับสารอาหารต่างๆควรได้จากการบริโภคอาหารหลักที่หลากชนิด ครบทั้ง 5 หมู่ เป็นสัดส่วนที่พอเหมาะ ผลการใช้อาจให้ผลที่แตกต่างกันในแต่ละบุคคล ควรเก็บไว้ในที่ร่มให้พ้นแสงแดดและความร้อน และ โปรดอ่านคำเตือนบนฉลากผลิตภัณฑ์หรือเอกสารกำกับผลิตภัณฑ์ก่อนใช้