20 สิงหาคม 2559
ผู้ชม 3246 ผู้ชม
Swanson Best Garlic with Lecithin – 600/380 mg – 200 Caps.
Swanson Best Garlic with Lecithin – 600/380 mg – 200 Caps. มีประโยชน์คือ ป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน ลดสภาวะความดันโลหิตสูง ลดภาวะไขมันโคเลสเตอรอลในเลือดสูง เสริมภูมิต้านทาน ลดภูมิแพ้ คุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระและป้องกันโรคมะเร็ง แก้ปัญหาโรคเบาหวาน ช่วยการนำสารสื่อนำประสาท (Neurotransmitters) หลายชนิด เช่น Acetylcholine (ACh) ซึ่ง Acetylcholine นั้น จะถูกสังเคราะห์โดยใช้สารโคลีน (Choline) ซึ่งได้รับจากสารเลซิติน ดังนั้นเลซิตินจึงมีประโยชน์ต่อการทำงานของระบบประสาท แก้ปัญหาความผิดปกติของการเคลื่อนไหว (Movement Disorders) เช่น Parkinson’s disease แก้ปัญหาของความผิดปกติของการเรียนรู้และความจำ (Learning and Memory) การทำงานของเลซิตินช่วยแก้ปัญหานิ่วในถุงน้ำดีและเสริมการทำงานของตับ
1. น้ำมันกระเทียม Garlic Oil Swanson Best Garlic Supplements Garlic with Lecithin
กระเทียมเป็นสมุนไพรที่มนุษย์เราใช้กันมานานนับเป็นพันๆ ปี ชาวกรีก อียิปต์ อิสราเอล จีน และอินเดียล้วนแต่ใช้กระเทียมเป็นยารักษาและบรรเทาโรคต่างๆ เช่น หวัด ไอ แผลอักเสบติดเชื้อ กระเทียมประกอบด้วยสารอาหารหลายชนิดคือ น้ำ กรดไขมัน โปรตีน คาร์โบไฮเดรต น้ำตาล กรดอะมิโน เหล็ก แคลเซียม วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 และ วิตามินซี ฯลฯ นอกจากนี้สารประกอบในกระเทียมยังมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ มีฤทธิ์ในการช่วยลดความดันโลหิต ช่วยไม่ให้เลือดจับตัวเป็นลิ่มหรืออุดตันตามผนังหลอดเลือด ลดการเกิดโรคหัวใจและโรคหลอดเลือด สารสำคัญที่ว่านี้คือเอนไซม์อัลลิเนส (Allinase) ที่เปลี่ยนสารอินทรีย์กำมะถันอัลลิอิน (Alliin) ให้เป็นน้ำมันหอมระเหยอัลลิซิน (Allicin) และเมื่อนำหัวกระเทียมสดมากลั่นด้วยไอน้ำจะได้น้ำมันกระเทียม (Garlic oil) จาก การค้นคว้าและวิจัยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับสาร สำคัญของสมุนไพรใกล้ตัวอย่างกระเทียมของนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก ทำให้ทราบว่าในกระเทียมมีสารสำคัญมากมาย เช่น
– สารประกอบซัลเฟอร์อย่างน้อย 33 ชนิด ซึ่งรวมถึง อัลลิซิน (Allicin) และ S-allylmercaptocystein
– กรดอะมิโนและไกลโคไซด์มากกว่า 17 ชนิด
– เอ็นไซม์หลากหลายชนิด
– เกลือแร่ โดยเฉพาะ เซเลเนียม (Selenium)
โดยสารสำคัญเหล่านี้เป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้กระเทียมมีคุณประโยชน์มากมายแก่ร่างกาย คือ ช่วย รักษาโรคเกี่ยวกับหัวใจ ช่วยลดระดับไขมันในกระแสเลือด เช่น ลดโคเลสเตอรอล จึงเหมาะกับผู้ที่มีระดับไขมันโคเลสเตอรอลในเลือดสูง มีผลในการลดความดันโลหิตสูง ช่วยส่งเสริมให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่เพียงพอ เสริมสร้างภูมิคุ้มกันโดยกระตุ้นให้ร่างกายเกิดการสร้างเม็ดเลือดขาวเพิ่ม มากขึ้น และกระเทียมยังเปรียบเสมือนยาปฏิชีวนะที่ใช้ในการรักษาโรคติดเชื้อต่างๆ โรคมะเร็ง และช่วยต้านสารอนุมูลอิสระในร่างกายด้วย
ประโยชน์ของน้ำมันกระเทียม
1. ป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตันเพราะ ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดโรคหัวใจส่วนใหญ่ เนื่องมาจากการสะสมเกาะตัวของไขมันที่ผนังหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งกระเทียมมีส่วนช่วยลดปริมาณโคเลสเตอรอลในกระแสเลือด จากการวิจัยพบว่าสารประกอบซัลเฟอร์ในกระเทียมโดยเฉพาะอัลลิซิน สามารถลดปริมาณโคเลสเตอรอลรวม และ โคเลสเตอรอลชนิดร้าย (LDL-cholesterol) ได้ดีเพราะอัลลิซินสามารถยับยั้งการทำงานของ HMG-COA reductase ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ใช้ในการสังเคราะห์โคเลสเตอรอล สำหรับกรณีผู้ที่มีปัญหาระดับโคเลสเตอรอลสูงมากกว่า 210 มิลลิกรัม ต่อเดซิลิตร ควรเสริมด้วยน้ำมันสกัดจากถั่วเหลืองหรือเลซิตินควบคู่กับกระเทียม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือดให้ดียิ่งขึ้น แต่กรณีผู้ที่มีปัญหาระดับโคเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์สูงทั้งคู่ควรเสริม ด้วยน้ำมันปลา โอเมก้า-3 ควบคู่กับกระเทียม จะช่วยลดทั้งโคเลสเตอรอล และไตรกลีเซอรไรด์ได้ รวมทั้งน้ำมันปลายังมีผลในเพิ่มระดับโคเลสเตอรอลชนิดดี (HDL-cholesterol) ที่ มีหน้าที่ในการนำโคเลสเตอรอลที่สะสมและอุดตันในหลอดเลือดกลับไปทำลายหรือเผา ผลาญที่ตับ ดังนั้นหากสามารถเพิ่มระดับโคเลสเตอรอลชนิดดี (HDL-cholesterol) เพียง 1 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร จะสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจได้ถึง 3-4% ส่วนการทดลองทางคลินิกพบว่าเมื่อให้น้ำมันหอมระเหยจากกระเทียมกับคนปรกติและคนไข้โรคหัวใจที่มีระดับโคเลสเตอรอลสูง ในขนาด 0.25 มก./น้ำหนักตัว 1 กก. เป็นเวลา 10 เดือนพบว่าระดับโคเลสเตอรอลในเลือดลดลง นอกจากนี้เมื่อให้กระเทียมสดกับคนไข้ที่มีไขมันในเลือดสูงในขนาดครั้งละ 25 กรัม วันละ 3 เวลา เป็นเวลา 25 วัน พบว่า 1/3 ของคนไข้มีระดับโคเลสเตอรอลในเลือดลดลงอย่างเห็นได้ชัด
2. ลดสภาวะความดันโลหิตสูง จากกรวิจัยทั่วโลกพบว่ากระเทียมสามารถลดความดันโลหิตค่าบน (Systolic Blood Pressure) ได้ 7.7 มิลลิเมตรปรอท และลดความดันโลหิตค่าล่าง (Diastolic Blood Pressure) ได้ 5 มิลลิเมตรปรอท ลดการเกาะตัวของเกล็ดเลือดได้ถึง 58% โดยสาร สำคัญในกระเทียมที่ชื่อ เมทิลแอลิล ไตรซัลไฟด์ จะไปลดการจับตัวของเกล็ดเลือด ป้องกันการเกาะตัวของเกล็ดเลือดและเพิ่มการสลายไฟบริน ทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ดีขึ้น และจากการศึกษาวิจัยทั้งในคนและสัตว์ทดลอง พบว่าน้ำมันกระเทียมสามารถลดความดันโลหิตได้ โดยสารที่สำคัญที่ออกฤทธิ์คือ อัลลิซิน (Allicin)และ adenosine โดยที่อัลลิซิน (Allicin) ซึ่ง เป็นสารประกอบซัลไฟด์ ช่วยในการขยายหลอดเลือด และป้องกันการเกาะตัวของเกล็ดเลือด ทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ดีขึ้น ส่วน adenosine จะไปออกฤทธิ์ให้กล้ามเนื้อเรียบของหลอดเลือดคลายตัว
3. เสริมภูมิต้านทาน ลดภูมิแพ้ สารสำคัญในน้ำมันกระเทียม คือ อัลลิซิน ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานของร่างกายโดยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างเม็ดเลือดขาวเช่น Macrophages และ T-lymphocyte เพิ่ม ขึ้น เมื่อร่างกายเรามีเม็ดเลือดขาวเพิ่มมากขึ้นจะส่งผลในการช่วยบรรเทาและลด อาการภูมิแพ้ นอกจากนี้กระเทียมมีฤทธิ์ที่เปรียบเสมือนยาปฏิชีวนะ ที่ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส และเชื้อรา จากการทดลองพบว่าผลิตภัณฑ์กระเทียมในรูปแบบต่างๆ ล้วนแล้วแต่มีผลในการยับยั้งการเจริญของเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของโรคหลายชนิดรวมทั้งเชื้อ Klebsiella pneumoniae ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคปอดบวม และเชื้อ Mycobacterium tuberculosis อัน เป็นสาเหตุของวัณโรค โดยเฉพาะเชื้อวัณโรคได้มีการทดลองให้น้ำมันกระเทียมในผู้ป่วยวัณโรคปรากฏว่า ได้ผลดี และพบว่าสารที่มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียเหล่านี้เป็นสารจำพวก sulfide ดังนั้นกระเทียมจึงมีส่วนในการช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ลดโอกาสการแพ้ต่างๆ และลดอาการเรื้อรังทางระบบทางเดินหายใจ เช่น หวัด หอบหืด ไซนัส หูอักเสบ เป็นต้น และกรณีที่เสริมด้วยการรับประทานวิตามินเช่น วิตามินซีควบคู่กับน้ำมันกระเทียมพบว่าจะช่วยบรรเทาและลดความถี่ของการเกิด โรคภูมิแพ้ เนื่องจากทั้งวิตามินซีและน้ำมันกระเทียมจะเสริมฤทธิ์กันในการกระตุ้นให้ เกิดการสร้างเม็ดเลือดขาวของร่างกายเพิ่มมากขึ้นส่งเสริมให้ภูมิต้านทานของ ร่างกายดีขึ้นอย่างชัดเจน
4. คุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระและป้องกันโรคมะเร็ง สาร ประกอบในกระเทียมสามารถยับยั้งการเกิดสารก่อมะเร็งที่ชื่อไนโตรซามีนในร่าง กาย ซึ่งช่วยป้องกันการเกิดเซลล์มะเร็งได้ จากการวิจัยพบว่าสารตัวหนึ่งในกระเทียมชื่อ S-allylmercaptocysteine ช่วยลดการเกิดมะเร็งในต่อมลูกหมากได้ถึง 50% และสาร allyl sulfides ช่วยลดการผลิตเอนไซม์ phase 1 ซึ่ง เป็นอันตรายต่อเซลล์และนำไปสู่การเกิดเซลล์มะเร็งได้ กระเทียมจึงสามารถป้องกันการเกิดเซลล์มะเร็งได้ดีเยี่ยม นอกจากนั้นซีลีเนียม (Selenium) ที่พบในกระเทียมมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและลดอันตรายจากการเกิดอนุมูลอิสระ ที่เป็นสาเหตุให้เกิดเซลล์มะเร็งที่อวัยวะต่างๆ
5. โรคเบาหวาน น้ำมันกระเทียมให้สารกลูโคไคนิน (Glucokinin) กระตุ้นตับอ่อนให้สร้างอินซูลินเพิ่มขึ้น ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดในผู้ป่วยโรคเบาหวาน มีการทดลองให้สารสกัดกระเทียมแก่กระตายที่ทำให้เป็นเบาหวานด้วย alloxan โดยให้ในขนาด 0.25 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม พบว่าสามารถลดน้ำตาลในเลือดได้ร้อยละ 70 เมื่อเปรียบเทียบกับยา tolbutamide ส่วนสาร allicin มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดได้พอๆ กับ tolbutamide
6.ลดอาการผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร เช่น อาหารไม่ย่อย เบื่ออาหาร แน่นท้อง ท้องเฟ้อ และท้องอืด ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการปวดท้อง เสียดท้องหรือท้องอืด โดยกระเทียมสามารถออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของอาการแน่นจุก เสียด ท้องเสีย และกระเทียมยังมีฤทธิ์ขับน้ำดีทำให้การย่อยอาหารดีขึ้น
7. ช่วยลดอาการอักเสบและรักษาแผลในกระเพาะอาหาร โดยกระเทียมไปออกฤทธิ์ต้านสารสังเคราะห์ Prostaglandin และกระเทียมยังมีฤทธิ์เพิ่มการบีบตัวของกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กด้วย
จาก ประโยชน์มากมายที่มีอยู่ในกระเทียม ถ้าหากสามารถบริโภคกระเทียมให้ได้ปริมาณสารสำคัญที่มากพอในแต่ละวัน กระเทียมจะสามารถช่วยเป็นเกราะป้องกันร่างกายให้ห่างจากโรคร้ายได้เป็นอย่าง ดี แต่สารสำคัญของกระเทียมโดยเฉพาะอัลลิซินยังมีคุณสมบัติไม่คงตัว สลายตัวได้ง่าย เพียงสัมผัสกับความร้อนแค่ 6 วินาที สารสำคัญอัลลิซินที่อยู่ในกระเทียมจะหมดไปทันที ดังนั้นน้ำมันกระเทียมสกัดในรูปแบบผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจึงเป็นอีกทางเลือก หนึ่งที่สามารถรักษาคุณค่าของสารสำคัญที่มีอยู่ในกระเทียมได้อย่างครบถ้วน อีกทั้งยังสะดวกในการรับประทาน ไม่ต้องพบกับปัญหาเรื่องรสชาดและกลิ่นที่จะตามมาอีกด้วย
เลซิทิน Lecithin Swanson Best Garlic Supplements Garlic with Lecithin
ในวงการแพทย์ได้มีการศึกษาวิจัยพบว่า เลซิตินสามารถช่วยลดให้ลำไส้ลดการดูดซึม ไขมันโคเลสเตอรอล และช่วยให้ขับถ่าย ไขมันโคเลสเตอรอลให้ออกมาทางอุจจาระมากขึ้น สามารถทำให้ระดับของ โคเลสเตอรอลในเลือดลดลง โครงสร้างของ เลซิตินยังมีสารประกอบที่สำคัญอีกชนิดหนึ่งคือ โคลีน (Choline) ซึ่งจำเป็นต่อการสร้างสารสื่อประสาทที่สำคัญของสมอง คือ Acetylcholine หากร่างกายได้รับ เลซิตินในปริมาณที่เพียงพอ ก็จะช่วยรักษาอาการผิดปกติของระบบประสาทบางประเภทได้ บทบาทและหน้าที่สำคัญของเลซิติน คือบำรุงสมองและป้องกันภาวะความผิดปกติของระบบประสาท ลดการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี และเสริมสร้างการทำงานของตับ ลดภาวะไขมันโคเลส เตอรอลในเลือดสูง
การทำงานของ เลซิตินต่อระบบสมองและประสาท
สาร สื่อนำประสาท (Neurotransmitters) มีหลายชนิด เช่น Acetylcholine (ACh) ซึ่ง Acetylcholine นั้น จะถูกสังเคราะห์โดยเซลล์ประสาทโดยใช้สารโคลีน (Choline) ซึ่งได้รับจากสารเลซิติน ดังนั้น เลซิติน จึงมีประโยชน์ต่อการทำงานของระบบประสาท ทำให้มีการนำ เลซิติน มาใช้ในการรักษาคนไข้ที่มีความผิดปกติของระบบประสาทที่เกิดจากความบกพร่อง จากการสร้าง acetylcholine ดังนี้
· ความผิดปกติของการเคลื่อนไหว (Movement Disorders) เช่น Parkinson’s disease
· ความผิดปกติของการเรียนรู้และความจำ (Learning and Memory) ขบวนการเรียนรู้และความจำนั้น หากขาด choline หรือ Acetylcholine จะทำให้การเรียนรู้และความจำเสื่อมสมรรถภาพลง จึงมีการนำเลซิติน มาใช้ในการรักษาคนไข้ที่มีความบกพร่องของความจำและระบบการเรียน
การทำงานของ เลซิติน ต่อนิ่วในถุงน้ำดีและเสริมการทำงานของตับ
นิ่ว ในถุงน้ำดีเป็นโรคที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในผู้หญิงที่อายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป มีภาวะอ้วน หรือมีบุตรหลายคน การรักษาแต่เดิมมักใช้วิธีผ่าตัด ต่อมาก็มีการพัฒนาการรักษาบางชนิดที่ช่วยละลายนิ่ว ป้องกันการอุดตันที่ท่อน้ำดี ในปัจจุบันมีการสลายนิ่วด้วยเครื่องอุลตร้าซาวด์ แต่อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาพบว่านิ่วในถุงน้ำดีมักจะมีสาเหตุมาจาก ส่วนประกอบในน้ำดีที่มีปริมาณของไขมันโคเลสเตอรอลสูงจนเกินไป ซึ่งการทำงานของเลซิติน จะช่วยได้เนื่องจากเลซิตินมีคุณสมบัติการเป็นตัวทำละลายของน้ำดี และช่วยให้น้ำดีไม่จับตัวกันจนเป็นก้อนนิ่ว
เนื่องจาก เลซิติน เป็นสารธรรมชาติที่ประกอบด้วย ฟอสโฟไลปิด (Phospholipid) ซึ่งประกอบด้วยกรดไขมัน คือ ฟอสเฟต (Phosphate)และ โคลีน (Choline) ซึ่งเป็นวิตามินในกลุ่มเดียวกับวิตามินบี โดยที่ Choline ของเลซิตินจะมีส่วนในการช่วยให้เซลล์ตับมีการเผาผลาญไขมันได้อย่างปกติ ดังนั้นพบว่าในผู้ที่มีปํญหาไขมันโคเลสเตอรอลในเลือดสูง มักจะพบการสะสมของไขมันที่ตับ หรือภาวะไขมันพอกตับ ส่งผลให้เซลล์ของตับทำงานผิดปกติ ทำให้ตับอักเสบ และเป็นตับแข็งได้ในที่สุด ดังนั้นเลซิตินจึงมีบทบาทที่สำคัญในการช่วยบำรุงตับ ส่งเสริมการทำงานของตับให้เป็นปกติ เหมาะกับผู้ที่ต้องการบำรุงตับหรือ ผู้ที่ดื่มสุราเป็นประจำ
การทำงานของเลซิตินในภาวะไขมันโคเลสเตอรอลในเลือดสูง
ในปัจจุบันพบว่าภาวะไขมันในหลอดเลือดสูง ปัญหาโรคหัวใจ และหลอดเลือดอุดตัน เป็นโรคที่มีอัตราการตายสูงสุด ซึ่งในทางโภชนาการ
การเลือกบริโภคอาหารให้ครบสัดส่วนที่ ร่างกายต้องการ จะช่วยลดภาวะไขมันในหลอดเลือดสูงได้ โดยการเลือกทานไขมันให้ถูกชนิดและในปริมาณที่เพียงพอ จะทำให้ระดับโคเลสเตอรอลในเลือดลดลง แต่หากทานไขมันอิ่มตัวมากๆ เช่นไขมันจากสัตว์ จะส่งผลทำให้ระดับโคเลสเตอรอลในเลือดสูงขึ้น
การเลือก ทานอาหารให้ถูกต้องจะสามารถลดระดับ Low Density Lipoprotein (LDL-C ไขมันร้าย)และเพิ่ม High Density Lipoprotein(HDL-C ไขมันดี) ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหลอดเลือดหัวใจหรือหลอดเลือดสมองอุดก็ ตันได้ ทำให้คนหันมานิยมใช้น้ำมันพืชในการปรุงอาหารมากกว่าน้ำมันที่มาจากไขมัน สัตว์ เพื่อป้องกันโรคหลอดเลือดอุดตันจากไขมันอิ่มตัว ซึ่งมีนักวิชาการตั้งข้อสังเกตว่าการใช้น้ำมันพืชเพียงอย่างเดียว ไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุด เพราะไขมันในน้ำมันพืชไม่ว่าจะเป็นน้ำมันข้าวโพด น้ำมันถั่วเหลือง จะลดทั้ง LDL cholesterol ( ไขมันชนิดร้าย ) และ HDL Cholesterol ( ไขมันชนิดดี ) ไปด้วย ดังนั้นร่างกายควรได้รับสารอาหารอื่นๆ ที่ช่วยลด LDL cholesterol แต่เพิ่มหรือรักษาระดับ HDL cholesterol ไว้ด้วย เพื่อช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดอุดตันและสารอาหารดังกล่าวนั้น ก็ได้มาจาก เลซิติน นั่นเอง ในปี 1980 Dr. Grefon และคณะได้ทำการวิจัยในผู้ที่มีไขมันในเลือดสูง จนสามารถพิสูจน์ได้ว่า เลซิติน จากถั่วเหลืองนั้น สามารถเพิ่มการขับไขมันโคเลสเตอรอลได้ดีกว่าน้ำมันถั่วเหลือง และพบว่าระดับโคเลสเตอรอลในเลือดลดลง โดยเมื่อวิเคราะห์แยกชนิดของโคเลสเตอรอล จะพบว่า LDL cholesterol ( ไขมันชนิดดร้าย ) ลดลงในขณะที่ HDL cholesterol ( ไขมันชนิดดี ) เพิ่มขึ้น และเมื่องดให้ เลซิติน แต่ยังให้น้ำมันข้าวโพด ซึ่งเป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัว (polyunsaturated fatty acid: PUFA)กลับทำให้ระดับโคเลสเตอรอลกลับมาสูงเท่าเดิม
เลซิติน กับประโยชน์ที่หลากหลายต่อสุขภาพ
คนไทยโดยส่วนใหญ่ อาจจะเคยได้ยินชื่อสารอาหารที่ชื่อ เลซิติน กันมาบางแล้ว เลซิตินจะพบได้ นมสด ชีส เนย ไข่ เนื้อวัว ถั่วเหลือง ข้าว แป้ง ถั่วลิสง และแครอท ในปัจจุบันอุตสาหกรรมนิยมผลิตเลซิตินที่สกัดจากถั่วเหลือง เพราะให้สารเลซิตินสูงถึง 31.7% w/wในขณะที่ถั่วลิสงให้เพียง 22.6% w/w และถึงแม้ว่าในไข่แดงจะให้ เลซิตินสูงถึง 78.8% w/w แต่ก็ไม่เป็นที่นิยมใช้เพราะไม่ให้ผลดีเท่า เลซิตินสกัดจากถั่วเหลือง
ในปัจจุบันที่มีการนำเลซิตินมาใช้มากมายเพื่อสุขภาพสุขภาพ
จากข้อพิสูจน์ทางการแพทย์และงานผลจากงานวิจัยต่าง ๆ พบว่าเลซิตินเป็นสารอาหารที่มีคุณค่าต่อร่างกายเป็นอย่างมาก เพราะมีคุณสมบัติในการช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบประสาท บำรุงสมอง ช่วยเพิ่มความสามารถในการเรียนรู้ และการจดจำให้ดีขึ้น ช่วยป้องกันและช่วยละลายนิ่วในถุงน้ำดี บำรุงตับ ช่วยลดระดับไขมันโคเลสเตอรอล ช่วยลดภาวะหลอดเลือดอุดตันและโรคหัวใจ การได้รับเลซิตินในปริมาณ 0.6-1 กรัมต่อวัน ก็จะช่วยในการป้องกันโรคบางอย่างและควบคุมกลไกการทำงานของอวัยวะต่างๆ ให้ดีอยู่เสมอ โดยไม่ก่อให้เกิดการสะสมหรือข้อผลข้างเคียงต่อร่างกายแต่อย่างใด เพราะจากการทดลอง พบว่า การทาน เลซิติน ในปริมาณ 40-50 กรัมต่อวัน ติดต่อกันนานถึง 18 เดือน ก็ไม่พบการสะสมหรือผลข้างเคียงใดๆต่อสุขภาพและร่างกาย เพราะ เลซิติน เป็นสารอาหารที่เกิดจากธรรมชาตินั่นเอง
เราควรเลือกทานเลซิตินที่มีฟอสฟาติดิลโคลีนในปริมาณสูง(15-35%) เพื่อความสะดวกในการรับประทานในแต่ละวัน พร้อมทั้งพิจารณาเลือกเลซิตินที่สกัดจากถั่วเหลือง เพราะมีปริมาณของเลซิติน และไขมันไม่อิ่มตัวในปริมาณสูง ควรเลือกเลซิตินที่ผลิตภายใต้มาตรฐานการผลิตยา เพราะทำให้มั่นใจได้ ในเรื่องคุณภาพและความปลอดภัย และร่างกายจะได้รับเลซิตินที่บริสุทธิ์ ปราศจากการแต่งกลิ่น รส และสารฟอกขาว
Swanson Best Garlic Supplements Garlic with Lecithin
Potent combo promotes healthy lipid levels and mental sharpness
Features the lipid-balancing power of garlic and the fat-emulsifying capabilities of soy lecithin
Each capsule delivers 300 mg of garlic and 190 mg of lecithin for all-natural cardiovascular maintenance
Product Description:
Swanson Best Garlic Supplements Garlic with Lecithin
“I like the combination of the garlic with the lecitin. It is definetly a good bargin. I’m also impressed with the garlic that does not repeat on me.” ~ product review by smurty
Swanson Garlic with Lecithin is an excellent way to help maintain mental sharpness. Lecithin promotes healthy brain function and garlic supports blood flow to the brain. Plus, they encourage healthy cholesterol levels. Each capsule contains 300 mg of odor-controlled garlic and 190 mg of lecithin powder.
Product Label:
Swanson Best Garlic Supplements Garlic with Lecithin
Supplement Facts
Serving Size 2 Capsules
Servings Per Container 100
Amount Per Serving % Daily Value
Odor-Controlled Garlic (Allium sativa) (bulb) (minimum 10,000 ppm allicin potential) 600 mg *
Lecithin Powder (from soy) 380 mg *
*Daily Value not established.
Other ingredients: Gelatin, microcrystalline cellulose (plant fiber), magnesium stearate, silica.
Suggested use: As a dietary supplement, take two capsules two times per day with food and water.
WARNING: If you are pregnant, nursing or taking any medications, consult your doctor before use. Discontinue use and consult your doctor if any adverse reactions occur. Keep out of reach of children. Store in a cool, dry place. Do not use if seal under cap is broken or missing.
คำเตือน
ผลิตภัณฑ์ ดังกล่าวข้างต้นไม่ใช่ ผลิตภัณฑ์ที่จัดว่าเป็นยา จึงไม่ได้มีสรรพคุณในการรักษาโรคใดๆได้ และการได้รับสารอาหารต่างๆควรได้จากการบริโภคอาหารหลักที่หลากชนิด ครบทั้ง 5 หมู่ เป็นสัดส่วนที่พอเหมาะ ผลการใช้อาจให้ผลที่แตกต่างกันในแต่ละบุคคล ควรเก็บไว้ในที่ร่มให้พ้นแสงแดดและความร้อน และ โปรดอ่านคำเตือนบนฉลากผลิตภัณฑ์หรือเอกสารกำกับผลิตภัณฑ์ก่อนใช้